อาเซียน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยูเครน ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หรือความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ วิกฤตเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบพลังงานโลกอย่างชัดเจน และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม อาเซียน (ASEAN) ไม่ได้นิ่งเฉย หากแต่เริ่มรวมพลังวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และพลังงาน
ความท้าทายที่อาเซียนเผชิญ

- ราคาพลังงานผันผวนสูง
ประเทศในอาเซียนจำนวนมากยังพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เมื่อราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลงรุนแรง ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคและชีวิตประจำวันของประชาชน - ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์โลก
ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา–จีน หรืออิสราเอล–อิหร่าน ส่งผลทางอ้อมต่อเสถียรภาพของภูมิภาคผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และความมั่นคงทางทะเล - ช่องว่างด้านพลังงานสะอาดระหว่างประเทศสมาชิก
แม้ว่าหลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์ จะมีแผนการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนที่ก้าวหน้า แต่ก็ยังมีประเทศที่ขาดแคลนเทคโนโลยีและทุนในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
กลยุทธ์ใหม่ของอาเซียน: ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคง
1. การจัดตั้งเครือข่ายพลังงานภูมิภาค (ASEAN Power Grid)
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสมาชิกเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนพลังงานส่วนเกินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากภายนอก
2. ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนร่วมกัน
อาเซียนเริ่มวางแผนความร่วมมือด้านพลังงานลม แสงอาทิตย์ และไฮโดรพาวเวอร์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว
3. การสร้างคลังสำรองพลังงานระดับภูมิภาค
มีการหารือถึงแนวคิดการจัดตั้งคลังสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับใช้ในภาวะวิกฤต เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ
4. ขยายบทบาททางการทูตพลังงาน (Energy Diplomacy)
อาเซียนเริ่มดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับทั้งประเทศในเอเชียและตะวันตก เพื่อลดการพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ
ตัวอย่างประเทศสมาชิกที่แสดงบทบาทโดดเด่น
- เวียดนาม: เดินหน้าโครงการพลังงานลมชายฝั่งระดับโลก และตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050
- มาเลเซีย: พัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ร่วมกับญี่ปุ่น
- ไทย: ส่งเสริมระบบขนส่งไฟฟ้าและการใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในภาคอุตสาหกรรม
ความสำเร็จเบื้องต้นของความร่วมมือพลังงานอาเซียน
แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่หลายโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานในอนาคต:
1. โครงการเชื่อมโยงไฟฟ้าระหว่างลาว–ไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์ (LTMS-PIP)
นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของโครงการ “ASEAN Power Grid” ที่เริ่มต้นเดินสายจริง ลาวซึ่งมีศักยภาพด้านไฟฟ้าพลังน้ำกลายเป็น “Battery of Southeast Asia” ส่งไฟฟ้าส่วนเกินผ่านไทยและมาเลเซียไปยังสิงคโปร์
- ทำให้ประเทศปลายทางได้ใช้พลังงานสะอาดราคาถูก
- เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของภูมิภาคในภาพรวม
2. การจัดตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลพลังงานอาเซียน
อาเซียนได้จัดตั้ง “ASEAN Centre for Energy (ACE)” เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล วิจัย และประสานงานด้านนโยบายพลังงาน ทำให้การกำหนดนโยบายมีฐานข้อมูลร่วม ลดความซ้ำซ้อน และสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ความท้าทายที่ยังต้องจับตา
แม้ความร่วมมือของอาเซียนจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่อง:
1. ความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีและเงินทุน
บางประเทศ เช่น กัมพูชา เมียนมา หรือลาว ยังขาดเงินทุนและความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ทำให้การพัฒนาพลังงานสะอาดไม่เท่าเทียมกับประเทศอื่น
2. โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อมเต็มที่
แม้จะมีโครงการ ASEAN Power Grid แต่โครงสร้างสายส่งและระบบไฟฟ้าของบางประเทศยังไม่สามารถรองรับการแลกเปลี่ยนพลังงานข้ามพรมแดนได้อย่างเสถียร
3. การเมืองภายในประเทศสมาชิก
ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือปัญหาภายใน ส่งผลให้บางประเทศมีนโยบายพลังงานไม่ต่อเนื่องหรือล่าช้า
แนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งระยะยาว
เพื่อให้อาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและความมั่นคงร่วมกันได้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการเสริมในด้านต่าง ๆ ดังนี้:
- การจัดตั้งกองทุนพลังงานอาเซียน เพื่อสนับสนุนประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดได้
- ผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคประชาชน เช่น การสนับสนุนโซลาร์เซลล์ในครัวเรือนผ่านนโยบายร่วม
- การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนระดับภูมิภาค เพื่อเร่งการลงทุนข้ามประเทศในโครงสร้างพลังงานสีเขียว
อาเซียนในสายตาของโลก: บทบาทใหม่ในเวทีพลังงานโลก
ในอดีต อาเซียนมักถูกมองว่าเป็น “ผู้บริโภค” หรือ “ผู้รับผลกระทบ” จากนโยบายและความขัดแย้งด้านพลังงานของมหาอำนาจ แต่ในยุคปัจจุบัน ภูมิภาคนี้เริ่มเปลี่ยนบทบาทสู่ “ผู้กำหนดแนวทาง” โดยเฉพาะในประเด็นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
1. อาเซียนในฐานะศูนย์กลางพลังงานหมุนเวียน
- อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีศักยภาพมหาศาลในด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)
- เวียดนามมีโครงการโซลาร์เซลล์และกังหันลมที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค
- ลาวเป็นแหล่งพลังน้ำที่สำคัญของเอเชีย
การผนึกพลังของทรัพยากรเหล่านี้ทำให้อาเซียนสามารถเป็นผู้ส่งออกพลังงานสะอาดในอนาคต
2. แรงกดดันจากประชาคมโลก
การประชุม COP และเวทีโลกต่าง ๆ เริ่มเรียกร้องให้อาเซียนลดการปล่อยคาร์บอนและหันมาใช้พลังงานสะอาด อาเซียนจึงต้องเร่งดำเนินการในกรอบความยั่งยืนให้ทันกับข้อผูกพันระดับสากล เช่น
- เป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2060
- การยุติการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักภายในทศวรรษนี้
3. อาเซียนในบทบาทกลางทางภูมิรัฐศาสตร์
ภูมิศาสตร์ของอาเซียนตั้งอยู่ระหว่างมหาอำนาจ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย จึงสามารถใช้บทบาท “ตัวกลาง” เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงาน ทั้งในรูปแบบ
- ความร่วมมือด้านการจัดเก็บและถ่ายโอนพลังงาน
- เส้นทางขนส่งพลังงานทางทะเล (Maritime Energy Corridor)
การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน: พลังจากฐานราก
การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานจะยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง อาเซียนจึงเริ่มส่งเสริมความตื่นตัวด้านพลังงานในระดับท้องถิ่น เช่น:
- โครงการโซลาร์รูฟท็อปในชุมชน
- การให้ทุนสนับสนุนธุรกิจพลังงานสีเขียวขนาดเล็ก (SMEs)
- การรณรงค์ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในครัวเรือน
แนวโน้มในอนาคต: โอกาสที่มาพร้อมความเสี่ยง
แม้ว่าอาเซียนจะมีทิศทางการรวมพลังที่น่าชื่นชม แต่ก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน เช่น:
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายกะทันหันจากการเมืองภายในประเทศสมาชิก
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน
- การแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรจากมหาอำนาจที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม หากสามารถรักษาหลัก “พหุภาคี–สามัคคี–ยั่งยืน” ไว้ได้ อาเซียนก็มีศักยภาพจะกลายเป็น ภูมิภาคต้นแบบ ของโลกในการบริหารจัดการพลังงานในยุคเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนผ่านพลังงาน: โอกาสทองของเศรษฐกิจสีเขียวในอาเซียน
เมื่อโลกเร่งเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานจากฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด อาเซียนย่อมไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป และที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียง “ภาระ” หากแต่มาพร้อม “โอกาส” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ:
1. การจ้างงานใหม่จากอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
- โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในการติดตั้ง บำรุงรักษา และบริหารจัดการ
- ส่งเสริมอาชีพใหม่ เช่น วิศวกรพลังงานสะอาด ผู้พัฒนาโซลูชันเทคโนโลยี IoT ด้านพลังงาน
2. ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก
- นักลงทุนและบริษัทรายใหญ่ต้องการย้ายฐานผลิตมายังภูมิภาคที่มีต้นทุนพลังงานสะอาดต่ำและมั่นคง
- ประเทศอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เริ่มเห็นการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนสีเขียวจากยุโรปและเอเชียตะวันออก
3. โอกาสในการส่งออกเทคโนโลยีและโมเดลการจัดการพลังงาน
- อาเซียนสามารถพัฒนาโซลูชันที่เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น เช่น ระบบไมโครกริด ระบบการจัดเก็บพลังงานต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบโจทย์ประเทศในแอฟริกาและเอเชียใต้
ความร่วมมือกับนานาชาติ: เสริมพลังการเปลี่ยนผ่าน
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานมีประสิทธิภาพ อาเซียนจำเป็นต้องเสริมพันธมิตรในระดับโลกมากขึ้น:
- ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: ให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานและไฮโดรเจน
- สหภาพยุโรป: สนับสนุนทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด
- ธนาคารโลกและ ADB: ช่วยจัดตั้งกองทุนพิเศษสำหรับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ
- จีน: สนับสนุนการเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
คำแนะนำเชิงนโยบาย: เสริมความมั่นคง-สร้างอนาคต
เพื่อให้อาเซียนเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ควรพิจารณาในระยะยาว:
- สร้างกรอบนโยบายพลังงานอาเซียนที่บูรณาการมากขึ้น
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านมีทิศทางร่วมกัน ลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาแต่ละประเทศ - ยกระดับการศึกษาและฝึกอบรมด้านพลังงานสีเขียว
สนับสนุนแรงงานที่มีทักษะรองรับเทคโนโลยีอนาคต - ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาภายในภูมิภาค
ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในเวทีโลก
บทส่งท้าย: อาเซียนในศตวรรษแห่งพลังงานสะอาด
1. จากวิกฤตสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว
อาเซียนได้เรียนรู้จากวิกฤตพลังงานและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ความมั่นคงพลังงานไม่ใช่เรื่องของการพึ่งพาแหล่งพลังงานเดิมหรือพันธมิตรต่างชาติเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการพัฒนา “ระบบที่ยืดหยุ่นและพึ่งตนเองได้” ในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น
การลงทุนในพลังงานสะอาด การสร้างระบบเชื่อมโยงพลังงาน และการให้ประชาชนมีบทบาทในระดับฐานราก คือหัวใจสำคัญที่เปลี่ยนพลังงานจากความเสี่ยงให้เป็น “ต้นทุนแห่งโอกาส”
2. อาเซียนในฐานะต้นแบบของความร่วมมือระดับภูมิภาค
โลกกำลังเผชิญปัญหาพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์คล้ายคลึงกันในหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา ลาตินอเมริกา หรือเอเชียใต้
ความสำเร็จของอาเซียนในการออกแบบกลไกความร่วมมือพลังงานที่ยืดหยุ่น ไม่ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์การเมือง เป็นบทเรียนสำคัญว่า “การรวมพลังเพื่ออยู่รอดร่วมกัน” มีพลังมากกว่าการแข่งขันเพื่อตัวเอง
3. เป้าหมายที่ต้องร่วมผลักดันต่อไป
เป้าหมาย | ตัวชี้วัดที่คาดหวังภายในปี 2035 |
---|---|
เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน | อย่างน้อย 35% ของการใช้พลังงานทั้งหมด |
เชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าระดับภูมิภาค | ครอบคลุมทุกประเทศสมาชิกอาเซียน |
ลดการพึ่งพาถ่านหิน | ต่ำกว่า 20% ของแหล่งพลังงานหลัก |
จัดตั้งกองทุนร่วมด้านพลังงานสะอาด | มูลค่ารวมมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
4. เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนและเยาวชน
ในหลายประเทศอาเซียน เยาวชนเริ่มมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายพลังงานสะอาด เช่น:
- กลุ่มนักศึกษาในอินโดนีเซียที่รณรงค์เรื่อง Net Zero University
- กลุ่มพัฒนาแอปฯ การติดตามการใช้พลังงานในครัวเรือนของไทย
- เครือข่ายเยาวชนในฟิลิปปินส์ที่ร่วมออกแบบโครงการไมโครกริดในพื้นที่ห่างไกล
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐหรือธุรกิจ แต่เป็นพลังร่วมของคนทุกวัย ทุกระดับในสังคม