Close Menu
  • Home
  • ข่าวสารล่าสุด
  • ความบันเทิง
  • สุขภาพ
Facebook X (Twitter) Instagram
bikramyogaphuket
  • Home
  • ข่าวสารล่าสุด
  • ความบันเทิง
  • สุขภาพ
bikramyogaphuket
สุขภาพ

ความผิดพลาดในการใช้ยา? นี่คือ วิธี รับมือ

Timothy PetersonBy Timothy PetersonSeptember 13, 2025No Comments2 Mins Read

การใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาโรคและการฟื้นฟูสุขภาพ วิธี แต่ในขณะเดียวกัน ความผิดพลาดในการใช้ยาก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาเกินขนาด ลืมรับประทานยา รับประทานยาผิดตัว หรือแม้แต่การใช้ยาร่วมกับอาหารและยาอื่นที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา แต่ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรง

บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจถึงความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการใช้ยา อาการเตือนที่ควรรู้ วิธีรับมือที่ถูกต้อง และแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก


ประเภทของความผิดพลาดในการใช้ยา

  1. การใช้ยาผิดชนิด
    มักเกิดจากการหยิบยาผิดขวดหรือสับสนชื่อยา ยาที่หน้าตาคล้ายกันอาจทำให้เกิดการใช้ผิดโดยไม่ตั้งใจ
  2. การรับประทานยาเกินขนาด
    อาจเกิดจากการลืมว่าได้กินยาไปแล้ว หรือคิดว่าการเพิ่มปริมาณยาจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอันตราย
  3. การลืมรับประทานยา
    โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือหัวใจ ซึ่งต้องการการควบคุมยาอย่างสม่ำเสมอ
  4. การใช้ยาผิดวิธี
    เช่น กินยาที่ควรรับประทานหลังอาหารในขณะท้องว่าง หรือหยอดตาด้วยยาหยอดหูเพราะเข้าใจผิด
  5. การใช้ยาหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ
    ยาที่เก็บไว้นานเกินไปหรือเก็บในสภาพไม่เหมาะสม เช่น โดนความชื้นและความร้อน อาจทำให้ตัวยาเสื่อมประสิทธิภาพ
  6. การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
    เกิดขึ้นเมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกันโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร อาจทำให้ยาตีกันหรือเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการข้างเคียง
  7. การใช้ยาร่วมกับอาหารหรือเครื่องดื่มไม่เหมาะสม
    เช่น การกินยาบางชนิดร่วมกับนมหรือแอลกอฮอล์ที่อาจลดหรือเพิ่มการออกฤทธิ์ของยา

สัญญาณเตือนเมื่อเกิดความผิดพลาดในการใช้ยา

  1. อาการเฉียบพลัน
    เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ใจเต้นผิดปกติ หายใจติดขัด หรือมีผื่นลมพิษขึ้นทันทีหลังใช้ยา
  2. อาการเรื้อรัง
    หากใช้ยาผิดหรือเกินขนาดต่อเนื่อง อาจทำให้ตับ ไต หรือระบบประสาทได้รับความเสียหายอย่างช้า ๆ โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว
  3. อาการแปลกไปจากเดิม
    หากพบอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นหลังเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ เช่น อ่อนแรงผิดปกติ ปากบวม ตาบวม หรือคันทั่วร่างกาย ควรสงสัยว่าอาจเป็นผลจากยา

วิธีรับมือเมื่อเกิดความผิดพลาดในการใช้ยา

  1. หยุดใช้ยาทันทีเมื่อสงสัยผิดพลาด
    หากพบว่ากินยาผิดชนิดหรือมากเกินไป ควรหยุดทันที และเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้เพื่อแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ
  2. ติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรโดยเร็ว
    การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร เช่น ควรรับประทานยาต่อไปหรือต้องหยุด
  3. ไปโรงพยาบาลหากอาการรุนแรง
    เช่น มีอาการแพ้ยา หายใจลำบาก ชัก หรือหมดสติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
  4. ห้ามแก้ปัญหาด้วยตนเอง
    เช่น ห้ามพยายามอาเจียนเพื่อเอายาออก ยกเว้นแพทย์แนะนำ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายมากกว่าเดิม
  5. บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    การจดบันทึกว่ารับประทานยาอะไร ปริมาณเท่าไร และเวลาใด จะช่วยให้ทีมแพทย์วิเคราะห์และให้การรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น

แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการใช้ยา

  1. อ่านฉลากและเอกสารกำกับยาอย่างละเอียด
    ก่อนใช้ยา ควรตรวจสอบชื่อยา ปริมาณ และวิธีใช้ทุกครั้ง
  2. จัดเก็บยาอย่างเป็นระเบียบ
    แยกยาของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน เก็บในตู้ยาที่มีป้ายกำกับชัดเจน
  3. ใช้กล่องแบ่งยารายวัน
    สำหรับผู้ที่ต้องรับประทานยาหลายชนิดและหลายเวลา การใช้กล่องแบ่งยาจะช่วยลดโอกาสลืมหรือกินซ้ำ
  4. ตั้งนาฬิกาเตือนหรือแอปพลิเคชัน
    เทคโนโลยีสามารถช่วยเตือนเวลาใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ไม่ปรับขนาดยาด้วยตนเอง
    การเพิ่มหรือลดยาต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
  6. ปรึกษาเภสัชกรเมื่อซื้อยาจากร้านขายยา
    เพื่อยืนยันความถูกต้องของยา วิธีใช้ และความเสี่ยงของการใช้ร่วมกับยาหรืออาหารอื่น
  7. ตรวจสอบวันหมดอายุเป็นประจำ
    ควรทิ้งยาที่หมดอายุหรือเปลี่ยนสภาพ เช่น เม็ดยาแตก สีเปลี่ยน หรือมีกลิ่นผิดปกติ

กรณีศึกษาจากชีวิตจริง

  • ผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุ มักสับสนระหว่างยาลดความดันกับยาลดน้ำตาล เนื่องจากสีและรูปทรงใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเพราะไม่ได้กินยาอย่างถูกต้อง
  • วัยรุ่นบางคน เข้าใจผิดว่าการกินยาพาราเซตามอลมาก ๆ จะทำให้ไข้ลดเร็วขึ้น ผลคือเกิดภาวะพิษต่อตับ ต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน
  • ผู้หญิงวัยทำงาน ใช้ยาลดกรดควบคู่กับยาปฏิชีวนะ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้ตัวยาถูกดูดซึมลดลง การติดเชื้อไม่หายและอาการกลับมารุนแรงกว่าเดิม

ตารางสรุปความผิดพลาดในการใช้ยาและการรับมือ

ความผิดพลาดที่พบบ่อยอาการที่อาจเกิดขึ้นแนวทางรับมือเบื้องต้น
กินยาผิดชนิดเวียนหัว คลื่นไส้ หรือไม่มีผลต่อโรคจริงหยุดใช้ทันที เก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ และปรึกษาแพทย์
กินยาเกินขนาดอาเจียน เหงื่อออกมาก ใจเต้นผิดจังหวะ ชักรีบไปโรงพยาบาลทันที ห้ามแก้ไขเอง
ลืมกินยาประสิทธิภาพการรักษาลดลง โรคกำเริบหากนึกได้เร็วให้กินทันที แต่ถ้าใกล้เวลาโดสถัดไปให้ข้ามไป
ใช้ยาผิดวิธีระคายเคือง เยื่อบุอักเสบ ไม่เห็นผลรักษาอ่านฉลากให้ถูกต้อง หากสงสัยให้ถามเภสัชกร
ใช้ยาหมดอายุยาเสื่อมประสิทธิภาพ อาจมีสารสลายตัวที่เป็นพิษทิ้งทันที ไม่ควรเสียดายหรือเก็บไว้ใช้
ใช้ยาร่วมกับอาหาร/เครื่องดื่มไม่เหมาะสมยาออกฤทธิ์มากหรือน้อยกว่าปกติ เกิดอาการข้างเคียงศึกษาคู่มือยาหรือสอบถามแพทย์/เภสัชกร
การใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันโดยไม่แจ้งแพทย์ปฏิกิริยาระหว่างยา ทำให้เกิดอาการแพ้หรือพิษแจ้งยาที่ใช้อยู่ทั้งหมดให้แพทย์ทราบทุกครั้ง

ข้อควรระวังเพิ่มเติม

  1. ไม่ควรแชร์ยากับผู้อื่น แม้จะมีอาการคล้ายกัน ยาที่เหมาะสมกับร่างกายหนึ่งอาจไม่ปลอดภัยกับอีกคน
  2. ไม่ใช้ยาแบบสะสมเองจากครั้งก่อน โรคที่เคยเป็นอาจต้องการวิธีรักษาที่ต่างออกไปในการกลับมาอีกครั้ง
  3. ควรมีสมุดบันทึกการใช้ยา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องกินยาหลายชนิดต่อเนื่อง จะช่วยให้แพทย์และเภสัชกรติดตามได้ง่ายขึ้น
  4. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ทุกครั้งก่อนใช้ เพื่อป้องกันการหยิบผิด โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีสมาชิกหลายคนใช้ยา

กรณีศึกษาเพิ่มเติม

กรณีที่ 1: กินยาซ้ำเพราะลืม

คุณป้าคนหนึ่งที่ต้องกินยาควบคุมความดันวันละสองครั้ง มักจะลืมว่าได้กินยาช่วงเช้าแล้วหรือยัง ทำให้บางวันกินซ้ำสองครั้ง ส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด และความดันตกต่ำจนต้องเข้าโรงพยาบาล

บทเรียน: การใช้กล่องแบ่งยารายวันหรือการตั้งนาฬิกาปลุกช่วยป้องกันการลืมและการกินซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ


กรณีที่ 2: ใช้ยาหมดอายุ

ชายวัยทำงานคนหนึ่งมีอาการท้องเสียและนำยาเก่าที่เก็บไว้เกินสองปีมาใช้ หลังรับประทานแล้วอาการไม่ดีขึ้น แถมมีอาการปวดท้องมากกว่าเดิม เมื่อไปตรวจพบว่าตัวยาเสื่อมคุณภาพและอาจมีสารสลายตัวที่ระคายต่อกระเพาะ

บทเรียน: การเก็บยาควรตรวจสอบวันหมดอายุอย่างสม่ำเสมอ และทิ้งยาที่หมดอายุไป ไม่ควรเสียดาย


กรณีที่ 3: ปฏิกิริยาระหว่างยา

หญิงวัยกลางคนที่ใช้ยาลดคอเลสเตอรอล ได้ซื้อยาสมุนไพรบางชนิดมากินเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ หลังจากนั้นไม่นานเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปัสสาวะเป็นสีเข้ม แพทย์ยืนยันว่าเกิดจากการตีกันระหว่างยาสมุนไพรกับยาลดคอเลสเตอรอล

บทเรียน: แม้สมุนไพรจะดูปลอดภัย แต่หากใช้ร่วมกับยาสมัยใหม่โดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็อาจเกิดอันตรายได้


แนวทางสร้างวัฒนธรรมการใช้ยาที่ปลอดภัย

  1. ความรับผิดชอบส่วนบุคคล
    ผู้ใช้ยาทุกคนต้องตระหนักว่ายาไม่ใช่ของใช้ทั่วไป การใช้ต้องมีความระมัดระวังสูง
  2. การสื่อสารภายในครอบครัว
    หากในบ้านมีหลายคนใช้ยา ควรบอกกล่าวกันให้ชัดเจนว่าใครใช้ยาอะไร และเก็บยาแยกชัดเจน
  3. บทบาทของเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์
    ทุกครั้งที่ได้รับยาใหม่ ควรถามเภสัชกรเรื่องวิธีใช้ ผลข้างเคียงที่ควรระวัง และการเก็บรักษาที่ถูกต้อง
  4. การใช้เทคโนโลยีช่วยจำ
    ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกและเตือนเวลาใช้ยา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน
  5. การศึกษาและให้ความรู้แก่สังคม
    การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงอันตรายของการใช้ยาผิด จะช่วยสร้างสังคมที่ใส่ใจความปลอดภัยด้านยา

ข้อสรุปเสริม

การใช้ยาที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ ความผิดพลาดในการใช้ยาสามารถป้องกันได้ หากเรามีความรู้ ความใส่ใจ และระบบช่วยเหลือที่เหมาะสม

เมื่อความระมัดระวังกลายเป็นนิสัย การใช้ยาก็จะกลายเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การรักษาโรคบรรลุเป้าหมาย และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตและสุขภาพ

Checklist 10 ขั้นตอนการใช้ยาที่ปลอดภัย

  1. ตรวจสอบชื่อยาเสมอ – อ่านฉลากทุกครั้งก่อนใช้ ป้องกันการหยิบผิดขวดหรือสับสนชื่อยา
  2. ยืนยันปริมาณที่ถูกต้อง – ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์หรือคำแนะนำเภสัชกร ห้ามปรับขนาดยาเอง
  3. ใช้ยาในเวลาที่กำหนด – กำหนดเวลาให้แน่นอน ใช้นาฬิกาปลุกหรือแอปพลิเคชันช่วยเตือน
  4. รู้จักข้อควรระวังเฉพาะยา – ยาบางชนิดต้องกินพร้อมอาหาร บางชนิดต้องกินตอนท้องว่าง ต้องศึกษาก่อนทุกครั้ง
  5. ไม่ใช้ยาร่วมกับคนอื่น – แม้อาการคล้ายกัน แต่ร่างกายและโรคของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน
  6. ไม่ใช้ยาที่หมดอายุหรือเก็บผิดวิธี – ตรวจสอบวันหมดอายุเสมอ และเก็บในที่แห้ง เย็น ห่างจากแสงแดด
  7. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ – รวมถึงสมุนไพร วิตามิน หรืออาหารเสริม เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
  8. เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง – ใช้ภาชนะปิดสนิทและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
  9. เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติหลังใช้ยา – หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่น หายใจลำบาก เวียนหัวรุนแรง ต้องรีบหยุดยาและไปพบแพทย์
  10. บันทึกประวัติการใช้ยา – สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือกินยาหลายชนิด จะช่วยให้แพทย์ติดตามและปรับการรักษาได้ง่ายขึ้น

บทส่งท้าย

ความผิดพลาดในการใช้ยาเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ หากเรามีความรู้ ความใส่ใจ และวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพตนเอง ยาคือเครื่องมือสำคัญในการรักษาโรค แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายร่างกายได้เช่นกัน

ดังนั้น การอ่านฉลากอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเสมอ และสร้างวัฒนธรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยในครอบครัว คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การรักษาโรคได้ผลเต็มที่และลดความเสี่ยงต่ออันตรายที่ไม่จำเป็น

การใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยอย่างการใช้ยาอย่างถูกต้อง อาจเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาพของเราและคนที่เรารักได้ในระยะยาว

การ นั่ง นาน ๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่? ความผิดพลาดในการใช้ยา? นี่คือ วิธี รับมือ ระวัง! 6 พฤติกรรมประจำวันทำร้าย ผิว โดยไม่รู้ตัว
Timothy Peterson

Related Posts

หลับสบายแม้มีอาการคัด จมูก เคล็ดลับและวิธีแก้ไข

September 17, 2025

สาเหตุของอาการปวดหลังจากการ นอน หลับมากเกินไป

September 12, 2025

Lysefjord: มากกว่าที่แค่ Preikestolen และ Kjerag

September 11, 2025

Comments are closed.

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.