การใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาโรคและการฟื้นฟูสุขภาพ วิธี แต่ในขณะเดียวกัน ความผิดพลาดในการใช้ยาก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาเกินขนาด ลืมรับประทานยา รับประทานยาผิดตัว หรือแม้แต่การใช้ยาร่วมกับอาหารและยาอื่นที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา แต่ยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรง
บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจถึงความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการใช้ยา อาการเตือนที่ควรรู้ วิธีรับมือที่ถูกต้อง และแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
ประเภทของความผิดพลาดในการใช้ยา

- การใช้ยาผิดชนิด
มักเกิดจากการหยิบยาผิดขวดหรือสับสนชื่อยา ยาที่หน้าตาคล้ายกันอาจทำให้เกิดการใช้ผิดโดยไม่ตั้งใจ - การรับประทานยาเกินขนาด
อาจเกิดจากการลืมว่าได้กินยาไปแล้ว หรือคิดว่าการเพิ่มปริมาณยาจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอันตราย - การลืมรับประทานยา
โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือหัวใจ ซึ่งต้องการการควบคุมยาอย่างสม่ำเสมอ - การใช้ยาผิดวิธี
เช่น กินยาที่ควรรับประทานหลังอาหารในขณะท้องว่าง หรือหยอดตาด้วยยาหยอดหูเพราะเข้าใจผิด - การใช้ยาหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ
ยาที่เก็บไว้นานเกินไปหรือเก็บในสภาพไม่เหมาะสม เช่น โดนความชื้นและความร้อน อาจทำให้ตัวยาเสื่อมประสิทธิภาพ - การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
เกิดขึ้นเมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกันโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร อาจทำให้ยาตีกันหรือเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการข้างเคียง - การใช้ยาร่วมกับอาหารหรือเครื่องดื่มไม่เหมาะสม
เช่น การกินยาบางชนิดร่วมกับนมหรือแอลกอฮอล์ที่อาจลดหรือเพิ่มการออกฤทธิ์ของยา
สัญญาณเตือนเมื่อเกิดความผิดพลาดในการใช้ยา
- อาการเฉียบพลัน
เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ใจเต้นผิดปกติ หายใจติดขัด หรือมีผื่นลมพิษขึ้นทันทีหลังใช้ยา - อาการเรื้อรัง
หากใช้ยาผิดหรือเกินขนาดต่อเนื่อง อาจทำให้ตับ ไต หรือระบบประสาทได้รับความเสียหายอย่างช้า ๆ โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว - อาการแปลกไปจากเดิม
หากพบอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นหลังเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ เช่น อ่อนแรงผิดปกติ ปากบวม ตาบวม หรือคันทั่วร่างกาย ควรสงสัยว่าอาจเป็นผลจากยา
วิธีรับมือเมื่อเกิดความผิดพลาดในการใช้ยา
- หยุดใช้ยาทันทีเมื่อสงสัยผิดพลาด
หากพบว่ากินยาผิดชนิดหรือมากเกินไป ควรหยุดทันที และเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้เพื่อแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ - ติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรโดยเร็ว
การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร เช่น ควรรับประทานยาต่อไปหรือต้องหยุด - ไปโรงพยาบาลหากอาการรุนแรง
เช่น มีอาการแพ้ยา หายใจลำบาก ชัก หรือหมดสติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที - ห้ามแก้ปัญหาด้วยตนเอง
เช่น ห้ามพยายามอาเจียนเพื่อเอายาออก ยกเว้นแพทย์แนะนำ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายมากกว่าเดิม - บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การจดบันทึกว่ารับประทานยาอะไร ปริมาณเท่าไร และเวลาใด จะช่วยให้ทีมแพทย์วิเคราะห์และให้การรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการใช้ยา
- อ่านฉลากและเอกสารกำกับยาอย่างละเอียด
ก่อนใช้ยา ควรตรวจสอบชื่อยา ปริมาณ และวิธีใช้ทุกครั้ง - จัดเก็บยาอย่างเป็นระเบียบ
แยกยาของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน เก็บในตู้ยาที่มีป้ายกำกับชัดเจน - ใช้กล่องแบ่งยารายวัน
สำหรับผู้ที่ต้องรับประทานยาหลายชนิดและหลายเวลา การใช้กล่องแบ่งยาจะช่วยลดโอกาสลืมหรือกินซ้ำ - ตั้งนาฬิกาเตือนหรือแอปพลิเคชัน
เทคโนโลยีสามารถช่วยเตือนเวลาใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ไม่ปรับขนาดยาด้วยตนเอง
การเพิ่มหรือลดยาต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น - ปรึกษาเภสัชกรเมื่อซื้อยาจากร้านขายยา
เพื่อยืนยันความถูกต้องของยา วิธีใช้ และความเสี่ยงของการใช้ร่วมกับยาหรืออาหารอื่น - ตรวจสอบวันหมดอายุเป็นประจำ
ควรทิ้งยาที่หมดอายุหรือเปลี่ยนสภาพ เช่น เม็ดยาแตก สีเปลี่ยน หรือมีกลิ่นผิดปกติ
กรณีศึกษาจากชีวิตจริง
- ผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุ มักสับสนระหว่างยาลดความดันกับยาลดน้ำตาล เนื่องจากสีและรูปทรงใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเพราะไม่ได้กินยาอย่างถูกต้อง
- วัยรุ่นบางคน เข้าใจผิดว่าการกินยาพาราเซตามอลมาก ๆ จะทำให้ไข้ลดเร็วขึ้น ผลคือเกิดภาวะพิษต่อตับ ต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน
- ผู้หญิงวัยทำงาน ใช้ยาลดกรดควบคู่กับยาปฏิชีวนะ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้ตัวยาถูกดูดซึมลดลง การติดเชื้อไม่หายและอาการกลับมารุนแรงกว่าเดิม
ตารางสรุปความผิดพลาดในการใช้ยาและการรับมือ
ความผิดพลาดที่พบบ่อย | อาการที่อาจเกิดขึ้น | แนวทางรับมือเบื้องต้น |
---|---|---|
กินยาผิดชนิด | เวียนหัว คลื่นไส้ หรือไม่มีผลต่อโรคจริง | หยุดใช้ทันที เก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ และปรึกษาแพทย์ |
กินยาเกินขนาด | อาเจียน เหงื่อออกมาก ใจเต้นผิดจังหวะ ชัก | รีบไปโรงพยาบาลทันที ห้ามแก้ไขเอง |
ลืมกินยา | ประสิทธิภาพการรักษาลดลง โรคกำเริบ | หากนึกได้เร็วให้กินทันที แต่ถ้าใกล้เวลาโดสถัดไปให้ข้ามไป |
ใช้ยาผิดวิธี | ระคายเคือง เยื่อบุอักเสบ ไม่เห็นผลรักษา | อ่านฉลากให้ถูกต้อง หากสงสัยให้ถามเภสัชกร |
ใช้ยาหมดอายุ | ยาเสื่อมประสิทธิภาพ อาจมีสารสลายตัวที่เป็นพิษ | ทิ้งทันที ไม่ควรเสียดายหรือเก็บไว้ใช้ |
ใช้ยาร่วมกับอาหาร/เครื่องดื่มไม่เหมาะสม | ยาออกฤทธิ์มากหรือน้อยกว่าปกติ เกิดอาการข้างเคียง | ศึกษาคู่มือยาหรือสอบถามแพทย์/เภสัชกร |
การใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันโดยไม่แจ้งแพทย์ | ปฏิกิริยาระหว่างยา ทำให้เกิดอาการแพ้หรือพิษ | แจ้งยาที่ใช้อยู่ทั้งหมดให้แพทย์ทราบทุกครั้ง |
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- ไม่ควรแชร์ยากับผู้อื่น แม้จะมีอาการคล้ายกัน ยาที่เหมาะสมกับร่างกายหนึ่งอาจไม่ปลอดภัยกับอีกคน
- ไม่ใช้ยาแบบสะสมเองจากครั้งก่อน โรคที่เคยเป็นอาจต้องการวิธีรักษาที่ต่างออกไปในการกลับมาอีกครั้ง
- ควรมีสมุดบันทึกการใช้ยา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องกินยาหลายชนิดต่อเนื่อง จะช่วยให้แพทย์และเภสัชกรติดตามได้ง่ายขึ้น
- ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ทุกครั้งก่อนใช้ เพื่อป้องกันการหยิบผิด โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีสมาชิกหลายคนใช้ยา
กรณีศึกษาเพิ่มเติม
กรณีที่ 1: กินยาซ้ำเพราะลืม
คุณป้าคนหนึ่งที่ต้องกินยาควบคุมความดันวันละสองครั้ง มักจะลืมว่าได้กินยาช่วงเช้าแล้วหรือยัง ทำให้บางวันกินซ้ำสองครั้ง ส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด และความดันตกต่ำจนต้องเข้าโรงพยาบาล
บทเรียน: การใช้กล่องแบ่งยารายวันหรือการตั้งนาฬิกาปลุกช่วยป้องกันการลืมและการกินซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรณีที่ 2: ใช้ยาหมดอายุ
ชายวัยทำงานคนหนึ่งมีอาการท้องเสียและนำยาเก่าที่เก็บไว้เกินสองปีมาใช้ หลังรับประทานแล้วอาการไม่ดีขึ้น แถมมีอาการปวดท้องมากกว่าเดิม เมื่อไปตรวจพบว่าตัวยาเสื่อมคุณภาพและอาจมีสารสลายตัวที่ระคายต่อกระเพาะ
บทเรียน: การเก็บยาควรตรวจสอบวันหมดอายุอย่างสม่ำเสมอ และทิ้งยาที่หมดอายุไป ไม่ควรเสียดาย
กรณีที่ 3: ปฏิกิริยาระหว่างยา
หญิงวัยกลางคนที่ใช้ยาลดคอเลสเตอรอล ได้ซื้อยาสมุนไพรบางชนิดมากินเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ หลังจากนั้นไม่นานเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปัสสาวะเป็นสีเข้ม แพทย์ยืนยันว่าเกิดจากการตีกันระหว่างยาสมุนไพรกับยาลดคอเลสเตอรอล
บทเรียน: แม้สมุนไพรจะดูปลอดภัย แต่หากใช้ร่วมกับยาสมัยใหม่โดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็อาจเกิดอันตรายได้
แนวทางสร้างวัฒนธรรมการใช้ยาที่ปลอดภัย
- ความรับผิดชอบส่วนบุคคล
ผู้ใช้ยาทุกคนต้องตระหนักว่ายาไม่ใช่ของใช้ทั่วไป การใช้ต้องมีความระมัดระวังสูง - การสื่อสารภายในครอบครัว
หากในบ้านมีหลายคนใช้ยา ควรบอกกล่าวกันให้ชัดเจนว่าใครใช้ยาอะไร และเก็บยาแยกชัดเจน - บทบาทของเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์
ทุกครั้งที่ได้รับยาใหม่ ควรถามเภสัชกรเรื่องวิธีใช้ ผลข้างเคียงที่ควรระวัง และการเก็บรักษาที่ถูกต้อง - การใช้เทคโนโลยีช่วยจำ
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกและเตือนเวลาใช้ยา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน - การศึกษาและให้ความรู้แก่สังคม
การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงอันตรายของการใช้ยาผิด จะช่วยสร้างสังคมที่ใส่ใจความปลอดภัยด้านยา
ข้อสรุปเสริม
การใช้ยาที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ ความผิดพลาดในการใช้ยาสามารถป้องกันได้ หากเรามีความรู้ ความใส่ใจ และระบบช่วยเหลือที่เหมาะสม
เมื่อความระมัดระวังกลายเป็นนิสัย การใช้ยาก็จะกลายเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การรักษาโรคบรรลุเป้าหมาย และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตและสุขภาพ
Checklist 10 ขั้นตอนการใช้ยาที่ปลอดภัย
- ตรวจสอบชื่อยาเสมอ – อ่านฉลากทุกครั้งก่อนใช้ ป้องกันการหยิบผิดขวดหรือสับสนชื่อยา
- ยืนยันปริมาณที่ถูกต้อง – ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์หรือคำแนะนำเภสัชกร ห้ามปรับขนาดยาเอง
- ใช้ยาในเวลาที่กำหนด – กำหนดเวลาให้แน่นอน ใช้นาฬิกาปลุกหรือแอปพลิเคชันช่วยเตือน
- รู้จักข้อควรระวังเฉพาะยา – ยาบางชนิดต้องกินพร้อมอาหาร บางชนิดต้องกินตอนท้องว่าง ต้องศึกษาก่อนทุกครั้ง
- ไม่ใช้ยาร่วมกับคนอื่น – แม้อาการคล้ายกัน แต่ร่างกายและโรคของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน
- ไม่ใช้ยาที่หมดอายุหรือเก็บผิดวิธี – ตรวจสอบวันหมดอายุเสมอ และเก็บในที่แห้ง เย็น ห่างจากแสงแดด
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ – รวมถึงสมุนไพร วิตามิน หรืออาหารเสริม เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง – ใช้ภาชนะปิดสนิทและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
- เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติหลังใช้ยา – หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่น หายใจลำบาก เวียนหัวรุนแรง ต้องรีบหยุดยาและไปพบแพทย์
- บันทึกประวัติการใช้ยา – สำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือกินยาหลายชนิด จะช่วยให้แพทย์ติดตามและปรับการรักษาได้ง่ายขึ้น
บทส่งท้าย
ความผิดพลาดในการใช้ยาเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ หากเรามีความรู้ ความใส่ใจ และวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพตนเอง ยาคือเครื่องมือสำคัญในการรักษาโรค แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายร่างกายได้เช่นกัน
ดังนั้น การอ่านฉลากอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเสมอ และสร้างวัฒนธรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยในครอบครัว คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การรักษาโรคได้ผลเต็มที่และลดความเสี่ยงต่ออันตรายที่ไม่จำเป็น
การใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยอย่างการใช้ยาอย่างถูกต้อง อาจเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาพของเราและคนที่เรารักได้ในระยะยาว