เสียง เป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ไม่ว่าจะใช้ในการทำงาน การเรียน หรือการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่บ่อยครั้งเราพบว่าเสียงของตนเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะภาวะเสียงแหบ ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนมักมองข้าม อาการเสียงแหบอาจเกิดขึ้นชั่วคราวจากการใช้เสียงมากเกินไปหรือการติดเชื้อเล็กน้อย แต่บางครั้งเสียงแหบก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์
บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุของเสียงแหบ สัญญาณอันตรายที่ควรระวัง และแนวทางว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
สาเหตุทั่วไปของเสียงแหบ

ก่อนตัดสินใจว่าจะไปพบแพทย์เมื่อใด เราควรรู้จักสาเหตุพื้นฐานของอาการเสียงแหบเสียก่อน
- การใช้เสียงมากเกินไป
การพูดหรือตะโกนต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ครู นักร้อง หรือผู้ที่ต้องบรรยายบ่อย ๆ อาจทำให้สายเสียงอ่อนล้าและเกิดการอักเสบชั่วคราว - การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน
เช่น หวัด คออักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ซึ่งมักทำให้เสียงแหบร่วมกับอาการไอ เจ็บคอ และมีเสมหะ - การระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม
การสูบบุหรี่ ฝุ่น ควัน มลภาวะ หรือแม้แต่การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ล้วนทำให้สายเสียงบวมและเสียงเปลี่ยนไป - กรดไหลย้อน (GERD)
กรดจากกระเพาะอาหารที่ย้อนขึ้นมาที่คอหอยและกล่องเสียงสามารถทำให้เสียงแหบ โดยเฉพาะในตอนเช้า - การแพ้หรือภูมิแพ้
ภาวะแพ้อากาศหรือสารก่อภูมิแพ้อาจทำให้คอบวมและส่งผลให้เสียงผิดปกติ - การบาดเจ็บของสายเสียง
เกิดจากการผ่าตัดคอ กล่องเสียง หรือจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
แม้สาเหตุเหล่านี้จะพบได้บ่อยและส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง แต่ก็มีหลายกรณีที่เสียงแหบเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง เช่น เนื้องอกกล่องเสียง มะเร็งคอ หรือโรคทางประสาทที่มีผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อเสียง
สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์ทันที
แม้เสียงแหบชั่วคราวจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเสมอไป แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันที
- เสียงแหบต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
หากเสียงไม่กลับมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ควรเข้ารับการตรวจ - เสียงแหบที่แย่ลงเรื่อย ๆ
หากเสียงเริ่มอู้อี้หรือพร่ามากขึ้น แสดงว่าสายเสียงอาจมีพยาธิสภาพ เช่น ปมเสียง ซีสต์ หรือก้อนเนื้อผิดปกติ - มีอาการเจ็บคอเรื้อรังหรือกลืนลำบาก
เจ็บคอที่ไม่หายแม้ไม่ได้ติดเชื้อ หรือรู้สึกกลืนติดเหมือนมีก้อนในคอ เป็นสัญญาณที่ต้องตรวจสอบ - หายใจลำบากหรือหอบเสียงดัง
หากเสียงแหบร่วมกับการหายใจติดขัด อาจบ่งบอกว่ากล่องเสียงบวมจนตีบ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ - มีเลือดออกหรือเสมหะปนเลือด
อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบรุนแรงหรือโรคมะเร็งในบริเวณกล่องเสียงและคอ - น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ร่วมกับเสียงแหบเรื้อรัง อาจสัมพันธ์กับโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งกล่องเสียงหรือมะเร็งคอหอย - มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งทางเดินหายใจส่วนบน
ผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมควรเข้ารับการตรวจเร็วกว่าในคนทั่วไป
การวินิจฉัยโดยแพทย์
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์หู คอ จมูกจะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น กล้องส่องกล่องเสียง (Laryngoscopy) เพื่อตรวจดูสายเสียงอย่างละเอียด
หากพบความผิดปกติ เช่น ติ่งเนื้อ ซีสต์ หรือก้อนที่สงสัยว่าเป็นมะเร็ง อาจต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติม การตรวจที่แม่นยำและรวดเร็วจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่า
แนวทางการดูแลเบื้องต้น
ก่อนที่จะได้พบแพทย์หรือในกรณีเสียงแหบจากสาเหตุเล็กน้อย สามารถดูแลตนเองได้ดังนี้
- พักเสียง: หลีกเลี่ยงการพูดหรือตะโกนมากเกินไป
- ดื่มน้ำมาก ๆ: รักษาความชุ่มชื้นของคอและสายเสียง
- หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง: เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด
- ใช้ความชื้นในอากาศ: เช่น เครื่องทำความชื้นในห้อง เพื่อป้องกันคอแห้ง
- ควบคุมกรดไหลย้อน: หลีกเลี่ยงการกินอิ่มก่อนนอน และงดอาหารมันหรือเผ็ด
หากปฏิบัติแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
การรักษาเมื่อพบสาเหตุ
วิธีรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แพทย์วินิจฉัยได้ เช่น
- ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย: ใช้ยาลดการอักเสบหรือยาปฏิชีวนะ
- ปมเสียงหรือซีสต์: อาจต้องทำกายภาพบำบัดเสียงหรือผ่าตัดเล็ก
- กรดไหลย้อน: ใช้ยาลดกรดและปรับพฤติกรรมการกิน
- มะเร็งกล่องเสียง: ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง เช่น ผ่าตัด ฉายแสง หรือให้เคมีบำบัด
ตารางสัญญาณอันตรายของเสียงแหบที่ควรไปพบแพทย์
อาการร่วมกับเสียงแหบ | ความหมายที่อาจซ่อนอยู่ | ควรทำอย่างไร |
---|---|---|
เสียงแหบเกิน 2 สัปดาห์ | อาจเป็นปมเสียง ซีสต์ หรือก้อนเนื้อ | พบแพทย์หู คอ จมูก |
เสียงแหบแย่ลงเรื่อย ๆ | ความผิดปกติของสายเสียงที่ลุกลาม | ตรวจส่องกล่องเสียง |
เจ็บคอเรื้อรัง / กลืนลำบาก | การอักเสบเรื้อรังหรือก้อนในคอ | ตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง |
หายใจลำบาก มีเสียงหวีด | กล่องเสียงบวม อันตรายถึงชีวิต | ไปโรงพยาบาลทันที |
ไอหรือเสมหะปนเลือด | สัญญาณอันตรายของมะเร็งคอหอย/กล่องเสียง | ต้องตรวจด่วน |
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ | อาจเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง | พบแพทย์ทันที |
ข้อคิดเพื่อการดูแลเสียง
เสียงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แต่ยังเป็นเอกลักษณ์และพลังชีวิตที่สะท้อนตัวตนของแต่ละคน อาการเสียงแหบอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ในบางกรณีกลับเป็นสัญญาณเตือนโรคที่ต้องรีบรักษา การรู้เท่าทันสัญญาณอันตรายและไม่ละเลยอาการผิดปกติ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพเสียงและสุขภาพโดยรวม
อย่ารอจนกว่าเสียงจะหายไป จงฟังเสียงของร่างกายตั้งแต่วันนี้ หากเสียงแหบไม่ดีขึ้นหรือมีอาการร่วมที่น่ากังวล ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการดูแลเสียงก็คือการดูแลชีวิตและคุณภาพการสื่อสารที่ทำให้เรายังเชื่อมโยงกับโลกและผู้คนรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์
เคล็ดลับการป้องกันไม่ให้เสียงแหบง่าย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
น้ำคือสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาความชุ่มชื้นของสายเสียง ควรดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำวันละ 6–8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป เพราะจะทำให้คอแห้ง - พักเสียงเมื่อใช้มากเกินไป
หากต้องพูด ร้องเพลง หรือสอนต่อเนื่อง ควรจัดเวลาพักเสียงบ้าง การให้กล่องเสียงได้หยุดทำงานช่วยป้องกันการบวมและอักเสบ - ใช้เทคนิคการพูดและหายใจที่ถูกต้อง
พูดด้วยเสียงปกติ หลีกเลี่ยงการตะโกนหรือการกระซิบแรง ๆ ฝึกการหายใจลึกจากกระบังลมเพื่อช่วยลดแรงกดบนสายเสียง - รักษาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้องหากอากาศแห้ง หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ฝุ่น และสารระคายเคืองต่าง ๆ ที่อาจทำลายกล่องเสียง - ดูแลสุขภาพโดยรวม
พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การมีร่างกายแข็งแรงจะช่วยให้ระบบทางเดินหายใจและสายเสียงทำงานได้ดี - หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการร้องเพลง/พูดเสียงดังในระยะเวลานาน เพราะทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสเกิดเสียงแหบได้ง่าย
สรุป
เสียงแหบอาจเป็นอาการเล็กน้อยที่หายได้เอง แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรง หากเสียงแหบต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น เจ็บคอเรื้อรัง กลืนลำบาก หายใจติดขัด หรือมีเลือดปนในเสมหะ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
การดูแลเสียงด้วยการดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เทคนิคการพูดที่ดี และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง จะช่วยให้เสียงแข็งแรงและลดโอกาสการเกิดเสียงแหบได้ในระยะยาว
เสียงคือพลังและเครื่องมือสื่อสารที่ทรงคุณค่า การใส่ใจดูแลตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรค แต่ยังทำให้เราสามารถใช้เสียงอย่างมั่นใจและมีคุณภาพตลอดไป